วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การศึกษากับการพัฒนาประเทศ

                     วันนี้เห็นบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาจึงนำมาเผยแพร่ให้ชาวการศึกษาได้อ่านกันเพื่อที่จะได้แสดงความคิดเห็น.......เพราะเราคือกลไกของการศึกษา
พรชัย จันทโสก
คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าความเครียดของเด็กนักเรียนวัยรุ่นคนหนึ่งจะทำให้ เขาถึงกับลุกขึ้นมาจุดไฟเผาโรงเรียนของตัวเองได้ และนั่นอาจเป็นเพียงสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทยที่เป็น อยู่อย่างทุกวันนี้...
ถ้าหากมองภาพรวมของหลักสูตรและระบบการศึกษาไทยจะเห็นว่ามีปัญหาอยู่ทุกหย่อม หญ้า แน่นอนว่าปัญหาของสังคมเมืองใหญ่กับชนบทห่างไกลทุรกันดารย่อมแตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิง
ลองมาฟังทรรศนะของ คำหมาน คนไค หรือ สมพงษ์ พละสูรย์ ครูและนักวิชาการแวดวงการศึกษา และนักเขียนชั้นครูเจ้าของนวนิยายชื่อดังเรื่อง "ครูบ้านนอก" ซึ่งตลอดชีวิตการทำงานราชการได้คลุกคลีกับการศึกษาไทยมาหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา หรือแม้กระทั่งระบบราชการครูเองก็ตาม



ปัญหาของระบบการศึกษาไทยทุกวันนีคืออะไร?
เรื่องระบบการศึกษาของไทยที่ไม่พัฒนาเพราะไปสนใจแต่การปรับหลักสูตรปรับโครง สร้างการบริหาร ตัวหลักสูตรคือว่าให้เรียนวิชาอะไร แล้วจุดมุ่งหมายหรือ objective เขียนไว้หรูหรา เป็นคำพูดที่หรูหรา แต่จริงๆ แล้วตัวการศึกษาที่สำคัญคือ instruction หมายถึงการจัดการเรียนรู้หรือการดำเนินการสอนสำคัญยิ่งกว่าตัวหลักสูตรทุก วันนี้เรื่องการสอนแทบจะไม่พูดถึงเลย ไปพูดถึงแต่เรื่องการบริหารการใช้งบประมาณแล้วไปคลุมว่าต้องใช้อย่างสุจริต เพราะกลัวการคอรัปชั่นอย่างนี้
แต่ไม่ได้เน้นการจัดการการเรียนรู้หรือการ coaching ครูให้รู้จักสอน มันเหมือนกับทีมฟุตบอล ถ้าไม่มีโค้ชมันมีแต่ผู้จัดการอยู่เต็มไปหมด ไม่สำเร็จหรอก ไม่ได้เรื่องหรอกเพราะฉะนั้นการศึกษาจะต้องเน้นการจัดการเรียนรู้ แล้วครูควรจะสร้างหลักสูตรของตนเองคือกระทรวงสร้างขึ้นมา 8 วิชา แต่ครูควรจะมีหลักสูตรย่อยอย่างเรื่องภูมิศาสตร์

อยากให้ครูสร้างหลักสูตรของตัวเองขึ้น?
ผมอยากจะให้โรงเรียนทุกแห่งทำหน้าที่ให้คนรู้จักตนเอง คำว่า "ตนเอง" นอกจาก "self" หรือตัวเองแล้วยังหมายถึงท้องถิ่นด้วย อันนี้เป็นตนเองเหมือนกัน แต่เราไปเน้นเรื่อง "ชาติ" หรือ "country" มากกว่าเรื่อง "local" หรือ "ท้องถิ่น" มากกว่าตนเอง ถ้าบอกว่ามันจะไปสร้างความแตกแยกไหม มันไม่มีหรอก ถ้าคนรักตนไม่มีใครที่ไหนจะไปเกลียดคนอื่นหรอก ถ้าคนรักตนเองรักถิ่นกำเนิดของตนเอง รู้จักตนเอง รู้จักธาตุแท้ของตนเองว่าเป็นคนไม่เอาไหน เป็นคนมักง่าย เป็นคนรักสนุก เป็นคนไม่รักงาน เป็นคนเอาแต่เล่น ใครทำอะไรก็ไม่เป็นไรหรอก มันใช้ไม่ได้ นิสัยคนไทยเป็นอย่างนี้จะต้องรู้จักตนเองได้แล้ว



อีกอย่างหนึ่งคือทำธุรกิจไม่เป็น มีแต่หาของจากธรรมชาติมากิน แล้วเรียกมันอย่างภาคภูมิใจว่า "หากิน" แต่ไม่เคยผลิตเลย เคยหากบหาปลา ไม่เคยเลี้ยงกบเลี้ยงปลาเลย ฉะนั้นหลักสูตรที่ครูคิดขึ้นต้องเหมาะสม ถ้าอยู่ลำน้ำชีต้องเลี้ยงปลาอะไร ถ้าอยู่ลำน้ำมูลจะเลี้ยงปลาเลี้ยงกบกันอย่างไร มันต้องมีหลักสูตรการเลี้ยงกบ และตอนนี้มีคนเลี้ยงมดแดงแล้ว จะเลี้ยงมดแดงกันอย่างไร และหลายคนประสบวามสำเร็จจากการเพาะเห็นแต่ไม่มีโรงเรียนไหนมีหลักสูตรการ เพาะเห็ดนอกจากสอนให้คนทำกินแล้วต้องทำขายด้วย เวลานี้ไปเน้นที่ปลายทางคือโอท็อป แต่ไม่เน้นกระบวนการทำโอท็อปว่าจะทำอย่างไร จังหวัดที่ทำปลาส้มต้องมีหลักสูตรทำปลาส้ม ต้องมีหลักสูตรการทำโอท็อปขึ้นมา แต่โรงเรียนไม่มีเลย



ปัญหาคือหลักสูตรไม่ได้นำมาใช้ปฏิบัติได้จริง?



หลักสูตรตั้งไว้หรูหราตามจิตวิทยาการเรียนรู้ที่ไปลอกมาจากต่างประเทศพอไป ถึงขั้นการจัดการเรียนรู้ ครูสอนวิทยาศาสตร์ก็แยกไปเป็นกลศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี เป็นอะไรตามความถนัด แต่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตจริงๆ คือการหาเหตุผลว่าทำไมน้ำจึงไม่มีในอ่าง ทำอย่างไรจึงจะมีน้ำทำนาปรับ ถ้าไปดูกระบวนการชั้นเรียนของต่างประเทศจะเน้นการปฏิบัติมากกว่าการท่องตำรา ในชั้นเรียนแต่ของเรานอกจากท่องจากหนังสือจากตำราแล้วยังทำให้ท่องจากอิน เทอร์เน็ตอีก ลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ ซื้ออินเทอร์เน็ตให้แก่โรงเรียนมากเหลือเกิน นักเรียนได้ข้อมูลจากหนังสือจากอินเทอร์เน็ต แต่เป็นข้อมูลลอยๆ เหมือนกับได้ปลามาเยอะ แต่ไม่รู้จะเอาปลาไปทำปลาส้ม ปลาเค็ม หรือต้มแกงอย่างไร เลยปล่อยให้ปลาเน่าไป



อยากให้ระบบการศึกษาพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปทิศทางไหน?



การศึกษาที่ควรจะเป็นในสังคมไทย คือกระแสสังคมกับการศึกษาในครอบครัว ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่าโรงเรียน โรงเรียนเป็นสิ่งที่รัฐบาลสร้างขึ้นและใช้งบประมาณปีละหมื่นๆ หรือแสนๆ ล้านบาทจริงๆ แล้วการศึกษามันอยู่ในครัวเรือน อยู่ในครอบครัว อันนี้สำคัญที่สุดเพราะว่าพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และวิถีครอบครัวเป็นการศึกษาที่มีคุณค่าสูงสุดและอยู่ในนิสัยของนักเรียนไป อีกนาน ถ้าพ่อแม่มีระเบียบวินัย มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีอะไรดีๆ ลูกก็ต้องได้ดีด้วย โรงเรียนเป็นเพียงผู้รับประโยชน์จากครอบครัว โรงเรียนดีๆ อย่างโรงเรียนฝรั่ง โรงเรียนคาทอลิก คนเหล่านั้นมาจากครอบครัวที่ดีเลยทำให้สอนง่าย



กระแสสังคมเป็นตัวโน้มนำว่านักเรียนจะเรียนอะไร กระแสโลกาภิวัฒน์ วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ได้รับความสนใจกันมาก และต้องมีการติดต่อกับนานาชาติ ทำให้ต้องเน้นภาษาแต่ผมคิดว่าเน้นอยู่พักเดียวสักพักหนึ่งจะผ่อนคลายจะตายไป เอง เพราะว่ามันเป็นกระแสสังคมแต่ผมถือว่าเรื่องใหญ่ที่สุดของการศึกษาคือการ ศึกษาในครอบครัวที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย จะสอนลูก หลาน เหลน อันเป็นการศึกษาที่ดีที่สุด



แม้แต่เรื่องของครูเองก็มีปัญหาเหมือนกัน?



ผมขอติติงระบบครูในเชิงไม่ดีนัก คือ การให้ครูเขียนผลงานเพื่อให้ครูเชิดชูตนเอง ทุกวันนี้มีการจ้างให้คนที่รู้เขียนให้ด้วย จ้างอาจารย์มหาวิทยาลัยเขียนให้และจ้างผู้ตรวจให้ผ่านด้วย ถ้ามีคนตรวจอยู่ 3-4 คน ก็จ้างผู้ตรวจคนละ 4-5 หมื่นบาท ลงทุน 2 แสนบาท คำนวณดูแล้วว่าถ้าอยู่ไปอีก 10 ปียังได้กำไร ข้อเสนอแนะคือการเลื่อนตำแหน่งของครูควรจะดูจากความสำเร็จของการสอนหรือดู จากนักเรียน อย่างความสำเร็จของช่างตัดเสื้อต้องดูจากเสื้อผ้าที่ตัด ความสำเร็จของช่างยนต์ดูจากรถยนต์ที่ซ่อม ทีนี้ความสำเร็จของครูต้องดูจากนักเรียน ดูจากการจัดบริบทในบริเวณโรงเรียนดูจากการจัดอาคารสถานที่ ดูจากการจัดห้องสมุด จัดความสะอาด การเก็บขยะในโรงเรียนต้องประเมินสิ่งที่ครูทำ ไม่ใช่ให้เขียนยกย่องตนเอง อันนี้ผมไม่เห็นด้วยเพราะมันนำมาสู่การทุจริตและการจ้างกัน



ส่วนตัวแล้วมีทัศนคติกับครูอย่างไร?



เมื่อก่อนคนทั่วไปมองว่า "ครู คือ เรือจ้าง" คือเป็นคนพาข้ามฟากเท่านั้นเอง ตแผมคิดว่าควรจะเลิกพูดเรื่องภารกิจอันนี้ได้แล้วแต่ครูคือ "ผู้สร้างปัญญา" ผมอยากจะพูดอย่างนี้มากกว่าสิ่งที่เกิดในตัวคนที่เรียกว่า growth หรือ development คือ "ปัญญา" และ "ทักษะ" เพราะปัญญาคือการคิดย่างมีเหตุมีผล รู้เหตุรู้ผล ฉะนั้นปัญญาคือหน้าที่ของ "ครู" เป็นผู้สร้างสำหรับเรื่องจริยธรรมมันอยู่ในส่วนของปัญญานี่แหละ ถ้ามีปัญญาแล้วจะรู้ว่าอะไรผิด อะไรชอบ อะไรควร ไม่ควร ปัญญาไม่ใช่วิทยาศาสตร์หรือเคมีหรือฟิสิกส์ เพราะปัญญารวมไปถึงการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบด้วย คือถ้าคนมีปัญญาแล้วไม่ได้เก่งทางเคมีทางฟิสิกส์ หรือกลศาสตร์นั้นมันเก่งในการรู้ผิดรู้ชอบด้วยการใช้ชีวิต การดำรงชีวิต การมีเมตตา การมีกตัญญูกตเวที คนมีปัญญาจะมีสิ่งดีๆ หลายอย่างนี้



ถ้าเปรียบเทียบครูยุคนี้กับครูจากนวนิยายเรื่อง "ครูบ้านนอก" เปลี่ยนไปอย่างไร?



ครูยุคนี้เอาแต่กู้เงินอย่างเดียว (หัวเราะ) ผมไม่แน่ใจว่าครูยุคนี้จะมองเห็นคุณค่าของธรรมชาติของป่าไม้แค่ไหน ความเป็นครูจริงๆ คือ ความเสียสละ และตนเองก็อยู่อย่างพอเพียง อย่างการไปลงเบ็ด ไปหาปลาเอง ปลูกผักเอง มันเป็นกระบวนการชีวิตที่พอเพียง ไม่ต้องไปสอนนักเรียนในห้องอะไร แต่การทำอย่างนั้นมันบ่งชี้อยู่แล้ว นี่คือคำสอนของครู ครูไปลงเบ็ดไปหาปลามากินเอง ครูปลูกผักกินเองอย่างนี้มันใช้ได้อยู่แล้วแต่ครูทั้งประเทศขณะนี้ถูกมอมเมา ด้วยวัตถุนิยม ด้วยยศ ด้วยตำแหน่ง แต่เราจะหนีจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เพราะว่ากระแสสังคมหรือ current กำลังไหลมาทางนี้



แต่ว่าครูควรจะรู้จักประครองตนไม่ให้ล่มจมในกระแสสังคมที่นิยมในวัตถุอย่าง ไร วิธีประครองตนคือจะต้องรู้ตัวเองว่ามีความจำเป็น มีรายได้เท่าไร มีรายรับเท่าไร มีรายจ่ายเท่าไร และให้จ่ายเฉพาะที่จำเป็น อย่าจ่ายตามแฟชั่น คือความจำเป็นมันคือเรื่องอาหาร เรื่องปัจจัยสี่ ผมอยากฝากถึงครูว่าจะต้องบริหารความคิดของตัวเองให้รู้จักความพอดี อันนี้สำคัญที่สุด ผมเน้น "ความพอดี" ไม่ใช่คำว่า "พอเพียง" เพราะว่าพิเพียงมันบอกไม่ถูกว่าเท่าไหร่ พอดี คือ ไม่มากไม่น้อย



เห็นว่าจะฟ้องผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก" เวอร์ชั่นล่าสุด?



คงไม่ได้ฟ้องอะไร เรื่องของเรื่องคือ คุณโกวิทย์ วัฒนกุล เขียนสัญญากับผมไว้เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2552 ว่าจะเอา "ครูบ้านนอก" ไปทำเป็นละครโทรทัศน์ความยาว 20 ตอนจบ แต่หลังจากนั้นคุณสุรสีห์ ผาธรรม (ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก บ้านหนองฮีใหญ่") มาขอให้ผมเขียนสัญญาใหม่ว่าเซ็นกับเขาเดือนพฤษภาคม ผมปฏิเสธไปเพราะว่าผมเซ็นสัญญาให้กับคุณโกวิทย์ไปแล้ว แก้ไม่ได้หรอก จะมาเซ็นย้อนหลังไม่ได้ คุณสุรสีห์เลยตัดสินใจสร้างเองเลย และเปลี่ยนชื่อเรื่องไปใหม่เลย ตอนเปลี่ยนชื่อเรื่องเขาก็ไม่ได้มาถามมาปรึกษาอะไร เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "บ้านหนองฮีใหญ่" พระเอกและครูใหญ่ก็เปลี่ยนชื่อ ผมคิดว่าไม่ควรจะชื่อว่า "ครูบ้านนอก" ถึงแม้ว่าจะเติมคำว่า "บ้านหนองฮีใหญ่" เข้าไปมันไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คุณค่าของ "ครูบ้านนอก" เปลี่ยนแปลงไป



ภาพยนตร์มีประเด็นไหนบ้างที่ทั้งเหมือน และบิดเบือนไปจากต้นฉบับเดิม?



หนึ่ง-มันไปเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น "บ้านหนองฮีใหญ่" สอง-เปลี่ยนชื่อครูใหญ่และเปลี่ยนชื่อพระเอก สาม-ไม่เน้นเรื่องตามที่ผมตั้งใจว่าคือเน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ และความเสียสละของครู และสิ่งที่เลียนแบบคือขึ้นต้นเมหือนตอนเดิม คือมีครูบรรจุไปใหม่แล้วจบตรงพระเอกตาย แต่ตอนตายของนวนิยายพระเอกจะตายด้วยอาวุธสงคราม แต่การตายในหนังเรื่องนี้ใช้ปืนสั้นยิงต่อหน้านักเรียนเลย คือ การตายในเรื่องขอองผมจะใช้อาวุธสงครามในระยะไกล โดยไม่มีใครเห็นเลย พอตายแล้วนักเรียนถึงมาดูศพ หรือตอนเปิดเรื่องพระเอกเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านเหมือนในหนังครูบ้านนอกครั้ง แรกเลย ความจริงในหนังสือของผมมันเปิดเรื่องด้วยความมุ่งมั่นของตัวละครที่อยากจะ ออกไปรับใช้บ้านเกิดของ "ครูปิยะ" มากกว่า แต่คราวนี้มันออกไปทางตลก



แต่คุณโกวิทย์บอกว่าจะฟ้องเพราะเขาซื้อลิขสิทธิ์หนังสือของผมไป เขาต้องการใส่เรื่องเปล่านี้เข้าไปในบทละครโทรทัศน์ด้วย ไม่รู้แกจะทำได้แค่ไหน เห็นวิ่งเข้ากระทรวงวัฒนธรรมเพื่อขอเงินอุดหนุน ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จแค่ไหน เพราะว่าเคนมีคนมาซื้อลิขสิทธิ์ครูบ้านนอกไปและเจ๊งไปแล้วสองราย สร้างไม่สำเร็จหรือสร้างไม่ได้หรืออย่างไรไม่รู้ และคุณโกวิทย์ทำท่าจะสร้างไม่ได้อีกแล้ว แต่เขายืนยันว่าจะสร้างให้ได้เพราะเขามีความมุ่งมั่นที่จะหาเงินมอบให้กับ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อสนับสนุนโครงการในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และไปขอซื้อบทภาพยนตร์จากเวอร์ชั่นแรกมาทำด้วย



สิ่งที่อยากจะเห็นจากภาพยนตร์คืออะไร?



เนื้อเรื่องของผมคืออยากให้ครูที่บรรจุไปทั้งหญิงทั้งชายคือ "ปิยะ" และ "วาสนา" ตั้งอกตั้งใจเอาใจใส่ต่อเด็กและเสียสละตนเองด้วยการทำจริงมากกว่าพูด เช่น การปลูกผัก ไม่ใช่แค่สอนให้นักเรียนปลูกผัก มันต้องปลูกจริงๆ อย่างการขาดแคลนน้ำในชีวิตจริงของผม โรงเรียนไม่มีน้ำ ผมขุดบ่อน้ำเองเลย แล้วในหนังมันก็มีตอนขุดบ่ออยู่ด้วย และการขัดแย้งกับนายทุนที่เป็นฝ่ายผู้ร้าย ผมสร้างขึ้นจากเรื่องจริงเพราะนายทุนเป็นผู้ตัดไม้ในป่า และส่วนที่ผมต้องการแสดงออกอีกอย่างคือวิถีชีวิตของครูที่จะต้องพัวพันกับ ระบบราชการ จะต้องมีนายครูในระบบราชการ แต่ของใหม่นี้จะมีหรือไม่ ผมจำไม่ได้



งานเขียนเกือบทุกเล่มจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับครูทั้งหมด?



ผมเขียนเกี่ยวกับครูเพราะผมมีความในใจว่า ผู้อ่านของผมคือครูและผู้ที่สนใจการศึกษาเท่านั้น ผมตั้งกลุ่มเป้าหมายไว้ว่าเป็นครู และผู้ปกครองที่ห่วงใยลูกหลานของตนเอง เพราะฉะนั้นเรื่องของผมจึงออกมาเกี่ยวกับครูคือ "ครูบ้านนอก" และอีกเรื่องคือ "ฆ่าราชการครู" แต่จะมีเรื่องที่ไม่ได้เขียนเกี่ยวกับครูด้วย ผมเห็นว่าเรื่องวรรณกรรมถือว่าการร้อยเรียงภาษาให้ไพเราะเพราะพริ้งเป็นส่วน สำคัญส่วนหนึ่งแต่อย่าลืมว่า "ภาษา" (language) มีความสำคัญต่อชีวิต อย่าไปเน้นเฉพาะวรรณกรรมของคนกลุ่มหนึ่งคือ คนในรั้วในวังเท่านั้น ควรจะสนใจข้อเขียนของคนที่เป็นพื้นบ้านบ้าง ทำไมต้องไปเรียนเรื่องของ "เจ้าฟ้ากุ้ง" มันห่างไกลตัวนักเรียนเหลือเกิน หรือเรียนเรื่อง "ขุนช้าง-ขุนแผน" ผมว่าเรื่อง "พระอภัยมณี" มันมีลักษณะความเป็นชาวบ้านมากกว่า หรือเรื่อง "สังข์ทอง" แม้จะเป็นเรื่องรั้ววังแต่มันมีลักษณะเป็นชาวบ้านมาก



ตอนนี้มีความสุขอยู่กับอะไรมากที่สุด?



ผมมีความสุขตอนที่ได้เดินออกกำลังกาย และวิ่งออกกำลังกายในตอนเช้า แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว จะไม่เขียนนิยายหรือเรื่องสั้นแล้ว คือผมถือว่าการเขียนหนังสือ หรือการสร้างงานศิลปะเป็นหน้าที่ของคนรุ่นต่อไป รุ่นผมมันควรจะพักได้แล้ว ให้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นต่อไป จะรุ่นใหม่หรือรุ่นอะไรก็ได้



แต่ว่าคงไม่ได้กลับไปอยู่บ้านเกิดที่จังหวัดอำนาจเจริญ?



คงไม่ได้กลับไป คงอยู่กรุงเทพฯ แต่ผมผูกพันกับภูมิกำเนิดมาก คือคนเราเกิดมาเรียกว่ามี "ชาติ" หรือ "ชา-ติ" ตัวหนึ่งคือ "ชาติกำเนิด" หรือ "ชาติภูมิ๒ หมายถึงแผ่นดินเกิด อันที่สองคือ "ชาติพันธุ์" ว่าเป็นคนเชื้อสายอะไร เป็นคนเชื้อสายจีน เวียดนาม ฝรั่ง สำหรับผมมั่นใจว่าเป็นเชื้อสายลาวร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเกิดที่อำนาจเจริญ ไม่เคยลืมบ้านดอนเมยซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี บรรพบุรุษเคยบอกว่าปู่ย่าตาทวดผมอพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงแล้วข้าม รกรากมาตั้งอยู่ที่ฝั่งขวาบริเวณอำนาจเจริญทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ลืมถิ่นกำเนิดมันต้องนึกถึงเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกัน ตั้งแต่เด็กๆ นึกถึงทุ่งนา ป่าเขา ต้นไม้ หรืออะไรที่เคยชิน



ผมไม่ปฏิเสธว่าผมภูมิใจในความเป็นเชื้อสายลาว คือชาติภูมิกับชาติพันธุ์ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่เราสอนกับให้รักชาติๆ โดยที่ประชาชนผู้ฟังไม่รู้ว่าชาติคืออะไร ชาติคือการเกิด ชาติหมายถึงประชาชนทั้ง 60 กว่าล้านคน เพราะฉะนั้นคำว่า "ชาติ" หมายถึงประชาชนถึง 60 กว่าล้านคน และหมายถึงจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เพราะเป็นที่เกิดของคนเหล่านี้ แล้วชาติพันธุ์อาจจะแยกได้แต่ไม่เอามาเป็นข้อทะเลาะกัน เชื้อชาติมอญ แขก จีน ลาว ปะกาเกอะญอ กะเหรี่ยง และมีอีกเยอะแยะ อย่าเอามาทะเลาะกัน จะต้องมีวิธีสอนให้คนเหล่านี้สมัครสมานสามัคคีกัน



คำหมาน คนไค เป็นนามปากกาของ สมพงษ์ พละสูรย์ เกิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2480 ที่บ้านดอนเมย ตำบลนาจิก อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ) หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนเบญจะมะมหาราช จังหวัดอุบลราชธานีแล้วได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักเรียนทุนเข้ามาเรียนต่อ ที่โรงเรียนฝึกหัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี จนสำเร็จชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง จากนั้นเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร กรุงเทพฯ และบินลัดฟ้าไปศึกษาระดับปริญญาโทที่ colorado State Calleege รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา



ครูคำมหานเข้ารับราชการเป็นครูประชาบาลที่บ้านเกิด ก่อนที่จะโอนเข้ามาทำงานเป็นศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10 และดำรงตำแหน่งนักวิชาการกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะเกษียณอายุราชการคือที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการประชา สัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์พิเศษและเป็นวิทยากรรับเชิญในหน่วยงานทางการศึกษา ทั้งในท้องถิ่นและระดับประเทศ



ด้านงานเขียนเริ่มต้นเขียนหนังสือเมื่อครั้งเป็นนักเรียนชั้น ม.6 ที่จังหวัดอุบลราชธานี มีผลงานตีพิมพ์ในวารสาร "กระดึงทอง" และ "ชาวกรุง" มาตั้งแต่ปี 2510 จากนั้นมีผลด้านการเขียนบทความ สารคดี หนังสือเด็กและเยาวชน และนวนิยาย มีผลงานรวมเล่ม เล่มแรกคือ "จดหมายจากครูคำหมาน คนไค" จากนั้นมีผลงานตีพิมพ์ออกมาอีกหลายเรื่องที่เป็นชีวิตแห่งอุดมการณ์ เรียบง่าย งดงาม สร้างผลสะเทือนโดนตรงต่อสังคมหลายแง่หลายมุมไม่ว่าจะเป็นเรื่อง จดหมายจากครูคำหมาน คนไค, จดหมายจากหนองหมาว้อ, จดหมายจากครูบ้านนอก, บันทึกของครูประชาบาล, ครูบ้านนอก, ฆ่าราชการครู, ครูประชาบาลปฏิวัติ, ไม้บรรทัดคด, เรือจ้างคว้างลำ เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่อง "ครูบ้านนอก" และ "ฆ่าราชการครู" ได้รับความนิยมสูงสุดและแปลเป็นภาษาอังกฤษ



แม้ว่าปัจจุบัน "ครูคำหมาน คนไค" จะหยุดเขียนงานด้านวรรณกรรม แต่ยังคงเขียนบทความเมื่อได้รับเชิญไปบรรยายตามสถาบันต่างๆ นอกจากนี้ ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น "ปราชญ์เมืองอุบลฯ" และสโมสรนักเขียนภาคอีสานยังยกย่องให้เป็น "นักเขียนมรดกอีสาน" สาขาวรรณศิลป์ 2552

ที่มา - หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ